28 มีนาคม 2552

ธรรมะ = ธรรมชาติ

คนเรานั้น เกิดมา มาตัวเปล่า
แล้วเราจะเอาอะไรไปเล่า หามีไม่ เอาไปหาได้ไม่

เราคิดว่า สิ่งโน้น สิ่งนี้ เป็นของเรา หาใช่ไม่ หามีไม่
เป็นเพราะ เราเอาจิตของเรา ไปผูกกับสิ่งนั้น ว่าเป็นของเรา
แต่ที่จริงแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเราเลย
มีได้มา ก็ต้องมีเสียไป
แม้แต่ร่างกายที่ว่าเป็นของเรา ก็ไม่ใช่ของของเรา
เป็นของธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
เมื่อถึงเวลา ก็ต้องคืนธาตุทั้งหลาย กลับสู่ธรรมชาติไป

มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ที่เป็นของเรา ซึ่งก็คือดวงจิต
เมื่อดวงจิตละกายเนื้อไปแล้ว กายเนื้อจะสูญสลายไป
แต่ดวงจิตจะยังมีอยู่ หากดวงจิตยังไม่เข้าสู่นิพพาน
จะไปจุติในภพในภูมิต่างๆต่อไป ตามผลบุญผลกรรมที่สั่งสมไว้
หากทำกรรมดีไว้มาก ก็ไปจุติในสุคติภูมิ
หากทำกรรมชั่วไว้มาก ก็ต้องไปจุติในทุคติภูมิ
ทั้งนี้เป็นเพราะ ดวงจิตนี่เอง ที่เป็นตัวจดบันทึก
ผลบุญผลกรรมทั้งหลาย ที่เราได้สั่งสมไว้

ลักษณะที่จิตเก็บบุญและบาปเอาไว้นั้น เหมือนกระดาษ
หรือโฟมซับน้ำ ที่สามารถซับหรือเก็บน้ำไว้ได้หมด ฉันใด
จิตก็เหมือนกัน เมื่อคนเราทำบุญหรือบาปลงไปจิตก็ซับ
หรือเก็บเอาไว้หมด ฉันนั้น จิตนี้เป็นนาย กายเป็นบ่าว
จิตจึงเป็นสภาพพิเศษ และเราทุกคน ก็ได้ใช้จิตสั่งงานอยู่ตลอดเวลา
ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า "มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา...
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ"

"จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ จิตที่บุคคลฝึกดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้"

"กมฺมุนา วฏฺฏตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

"คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ นิรยํ ปาปกมฺมิโน
สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ ปรินิพฺพนฺติ อนาสวา
คนบางพวกเกิดในครรภ์ คนบางพวกทำกรรมชั่วไว้ ต้องไปนรก
คนบางพวกทำกรรมดีไว้ ไปสวรรค์ ส่วนท่านที่หมดกิเลสแล้ว ย่อมนิพพาน"

"บุคคลไม่ควรดูหมิ่นต่อบุญว่า มีปริมาณน้อย จักไม่มาถึง
แม้หม้อน้ำย่อมเต็มได้ด้วยหยาดน้ำ ที่ตกลงทีละหยดได้ฉันใด
ผู้มีปัญญาสั่งสมบุญ แม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มได้ด้วยบุญฉันนั้น"

"บุคคลไม่พึงทำบาปนั้นบ่อยๆ
ไม่ควรทำความพอใจในบาปนั้น
เพราะว่าการสั่งสมบาป นำทุกข์มาให้"

Author by ศรัทธา.
๒๐:๓๙ ๒๑/๔/๒๕๕๐

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น